ขั้นตอนการดำเนินการ
การศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางโครงการและรูปแบบการพัฒนาของโครงการ มีองค์ประกอบในการศึกษา ได้แก่ การกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดโครงการที่เหมาะสม การคัดเลือกแนวเส้นทาง การกำหนดรูปตัดทางที่เหมาะสม และการคัดเลือกรูปแบบทางแยกต่างระดับ ซึ่งในขั้นตอนการศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางโครงการและรูปแบบการพัฒนา จะเริ่มต้นจากการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ในการศึกษากำหนดรูปแบบทางเลือก ประกอบด้วยแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ/ดาวเทียมครอบคลุมบริเวณพื้นที่โครงการ ข้อมูลโครงข่ายการจราจรขนส่งทั้งในปัจจุบันและแผนงานในอนาคตของหน่วยงานต่าง ๆ บริเวณพื้นที่โครงการ นอกจากนั้น ที่ปรึกษาจะทำการสำรวจภาคสนามในเบื้องต้นเพื่อกำหนดอุปสรรคสิ่งกีดขวางที่เป็นจุดควบคุมต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ที่ตั้งชุมชน สถานที่ราชการ ศาสนสถาน โรงเรียน แม่น้ำลำคลองและพื้นที่อนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดตำแหน่งลงบนภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งจะนำมาเป็นแผนที่ฐาน (Base Map) หลังจากนั้นกำหนดทางเลือก (Alternative) ที่มีความเป็นไปได้ด้านวิศวกรรม สอดคล้องกับนโยบายของกรมทางหลวง/กระทรวงคมนาคม ค่าก่อสร้างไม่สูงมาก และมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ จากนั้นเปรียบเทียบทางเลือกโดยเกณฑ์การคัดเลือก ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านวิศวกรรม/จราจร ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน และปัจจัยด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ปัจจัยย่อยมาจากการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE)) โดยในขั้นตอนการศึกษาทางเลือก ที่ปรึกษาจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชน มาใช้ร่วมประกอบการพิจารณากำหนดทางเลือกและเกณฑ์การคัดเลือกด้วย โดยขั้นตอนการศึกษาคัดเลือก แสดงดัง รูปที่ 1
รูปที่ 1 ขั้นตอนการศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางและรูปแบบการพัฒนาโครงการ
การศึกษาและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการรวบรวม ตรวจสอบ ศึกษาทบทวนรายงานการศึกษาและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หรือในการศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางและรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ผ่านมาในอดีตของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์และนโยบายระดับชาติต่าง ๆ แผนพัฒนา คำสั่งและกฎระเบียบ แผนงานโครงการของรัฐและจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ ตลอดจนโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ที่จะศึกษาและโครงข่ายการคมนาคมของหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวงชนบท สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เป็นต้น
นอกจากนั้นจะดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจสังคม ข้อมูลรายละเอียดของโครงข่ายถนนปัจจุบัน อุปสรรค ตลอดจนข้อจำกัดในการพัฒนาแนวเส้นทาง ได้แก่ ทั้งข้อจำกัดทางด้านกายภาพและด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลจากการทบทวนการศึกษาและแผนพัฒนา มาใช้ในการพิจารณาประกอบการกำหนดทางเลือก โดยที่ปรึกษาจะจัดทำแผนที่ แสดงข้อจำกัดของพื้นที่และโครงการที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันและอนาคตโดยรอบพื้นที่ศึกษาในมาตราส่วนที่เหมาะสมและชัดเจนเพื่อใช้ในการศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางและรูปแบบการพัฒนาโครงการ
หลักเกณฑ์ในการกำหนดทางเลือก
หลักเกณฑ์ในการกำหนดทางเลือกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดโครงการ
หลักเกณฑ์ที่สำคัญในการกำหนดทางเลือกของตำแหน่งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแนวเส้นทางเลี่ยงเมืองเชียงคาน (ด้านทิศตะวันออก) มีรายละเอียดดังนี้
- จะต้องสามารถเชื่อมโยงทางเลี่ยงเมืองเชียงคานด้านทิศตะวันตกในอนาคตได้ เพื่อให้เกิดโครงข่ายการเดินทางที่สมบูรณ์
- ตำแหน่งของจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ควรอยู่ตั้งห่างจากพื้นที่ชุมชน สามารถรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคตได้
- การกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจะต้องหลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบต่อพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ได้แก่ สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานที่ทางราชการ ชุมชน
- มีผลกระทบด้านการโยกย้าย/เวนคืน ให้น้อยที่สุด
หลักเกณฑ์การกำหนดแนวเส้นทางเลือก
หลักเกณฑ์การกำหนดแนวเส้นทางเลือกของทางเลี่ยงเมืองเชียงคาน (ด้านทิศตะวันออก) มีรายละเอียดดังนี้
- สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนที่สำคัญที่มีปริมาณการเดินทางสูงในบริเวณพื้นที่ศึกษา
- รองรับการเดินทางที่ไม่ต้องการผ่านตัวเมืองให้มาใช้เส้นทางโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- หลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบต่อพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สถานศึกษา วัด โรงเรียน สถานพยาบาล เป็นต้น
- เป็นไปตามหลักวิศวกรรม สอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศและรองรับการพัฒนาเมืองในอนาคต
หลักเกณฑ์การกำหนดรูปตัดทาง
หลักเกณฑ์ที่สำคัญในการกำหนดรูปตัดทาง (Typical Section) มีรายละเอียดดังนี้
- รองรับการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีความสะดวกและปลอดภัยในการสัญจรและเป็นไปตามมาตรฐานของกรมทางหลวง
- มีค่าก่อสร้างไม่สูงมาก
- เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่/ไม่มีปัญหาในการระบายน้ำ
- รองรับการพัฒนารูปตัดทางในขั้นสมบูรณ์ (Ultimate Stage)
หลักเกณฑ์การกำหนดรูปแบบทางเลือกทางแยกต่างระดับ
หลักเกณฑ์ที่สำคัญในการกำหนดรูปแบบทางเลือกทางแยกต่างระดับ มีรายละเอียดดังนี้
- รองรับการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการลดจุดขัดแย้งบริเวณทางแยกและลดความสับสนในการเดินทาง
- จะต้องสามารถเชื่อมโยงทางเลี่ยงเมืองเชียงคานด้านทิศตะวันตกในอนาคตได้ เพื่อให้เกิดโครงข่ายการเดินทางที่สมบูรณ์
- มีความปลอดภัยในการสัญจรผ่านทางแยก
- หลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบต่อพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ได้แก่ สถานศึกษา
- ศาสนสถาน สถานที่ทางราชการ ชุมชน เป็นต้น
- มีผลกระทบด้านการโยกย้าย/เวนคืน ให้น้อยที่สุด
- มีผลกระทบด้านต่อการจราจรระหว่างก่อสร้างน้อยที่สุด
- ราคาค่าก่อสร้างไม่สูงมาก
เกณฑ์การคัดเลือกแนวเส้นทางโครงการและรูปแบบการพัฒนา
การศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางและรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากลักษณะของโครงการมีรูปแบบเป็นทางหลวงแนวใหม่ ซึ่งมีผลกระทบด้านการเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งมีผลตอบแทนในรูปแบบของการส่งเสริมการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของเมืองเชียงคานและจังหวัดเลย ดังนั้น ในการเปรียบเทียบรูปแบบทางเลือก จะต้องพิจารณาความเหมาะสมในปัจจัยหลัก 3 ด้าน คือด้านวิศวกรรม ด้านเศรษฐกิจ-การลงทุน และด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกณฑ์ในการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมเบื้องต้น ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกแนวเส้นทางโครงการและรูปแบบการพัฒนาเบื้องต้น
หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก |
ปัจจัยหลัก |
ดัชนี |
1) จุดเริ่มต้น/จุดสิ้นสุด 2) แนวเส้นทาง 3) รูปแบบตัดทาง 4) ทางแยกต่างระดับ
|
ด้านวิศวกรรม |
ความยาวของแนวเส้นทาง ลักษณะแนวทางราบ ลักษณะแนวทางดิ่ง ประสิทธิภาพโครงข่ายการจราจร ความยากง่ายในการก่อสร้าง และความเหมาะสมต่อการพัฒนาในอนาคต เป็นต้น |
ด้านเศรษฐกิจ-การลงทุน |
ค่าก่อสร้าง ค่าบำรุงรักษา ค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และผลประโยชน์ของโครงการ เป็นต้น |
|
ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม |
ประกอบด้วย ผลกระทบต่ออุทกวิทยา คุณภาพน้ำผิวดิน นิเวศวิทยาทางบก ผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน ปัญหาด้านการชะล้างพังทลายของดิน ผลกระทบต่อการคมนาคม ผลกระทบต่อการโยกย้ายและเวนคืน และคุณค่าทางโบราณสถาน วัฒนธรรมและทัศนียภาพ เป็นต้น |
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการคัดเลือกปัจจัยที่คาดว่าจะมีนัยสำคัญ จากผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกที่เหมาะสมต่อไป